วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เทคโนโลยี สำหรับพัฒนา Web

การใช้งาน HTML
คำสั่งพื้นฐานของ html มีดังนี้
คำสั่งโครงสร้าง จะกำหนดให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะถูกสร้างเป็น file html ต้องมีโครงสร้างตามรูปแบบที่กำหนด
คำสั่งในการจัดรูปแบบของย่อหน้า
คำสั่งกำหนดรูปแบบตัวอักษร
คำสั่งในการกำหนดลำดับ หรือหัวข้อ
คำสั่ง hyperlink
คำสั่ง Asset Integration ใช้ในการแสดงผลข้อมูล multimedia หรือภาพกราฟิก
โครงสร้างของเอกสาร html
จุดเริ่มต้นของเอกสาร ส่วนหัวของเอกสาร ชื่อโปรแกรมหรือหัวเรื่องที่จะแสดง
.........ส่วนเนื้อหาของ คำสั่งหรือข้อความที่ต้องการให้แสดงเอกสาร ......... จุดสิ้นสุดของเอกสาร
Tags ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Tag เริ่มต้น และ Tag สุดท้าย โดย Tag สุดท้ายจะเขียนเหมือนกับ Tag เริ่มต้นแต่จะต้องมีเครื่องหมาย “/” อยู่ข้างหน้า Tag นั้นด้วย
การ Comment
ข้อความที่เป็น comment หรือคำอธิบายใด ๆ ที่ไม่ต้องการให้มีการแสดงผล ให้ใส่ข้อความดังกล่าวไว้ภายใน ซึ่ง Browser จะไม่สนใจข้อความที่อยู่ภายใต้เครื่องหมายนี้
ส่วนหัวของเอกสาร ...
Tag ที่นิยมใช้อยู่ภายในส่วนหัวของเอกสารคือ ... เพื่อที่จะแสดงหัวเรื่องของเอกสาร ณ ตำแหน่งส่วนบนสุด (Title Bar) ของบราวเซอร์
เมื่อมีการ Add Favorite หรือ Bookmark URL ใน web browser ข้อความใน title จะถูกเก็บ ดังนั้น การตั้งชื่อ title ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก
Script ต่าง ๆ หรือ Tag ที่ใช้กำหนดลักษณะบางอย่าง ก็อาจจะอยู่ในส่วนของ HEAD ด้วย เช่น
Meta tag
META TAG
tag เป็น tag ที่ใช้บรรยายลักษณะของ web page เพื่อให้ browser ทำงานกับข้อมูลบน web page ได้ถูกต้อง เช่น
กำหนดคำอธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาของ web page
กำหนดวันหมดอายุของ web page
กำหนดให้มีการ refresh web page ใหม่
กำหนด font หรือ character encoding
ส่วน meta tag ค่อนข้างมีความสำคัญสำหรับกำหนดค่าให้กับ search engine

ส่วนเนื้อหาของเอกสาร ...
เป็นส่วนที่สามารถใส่ข้อความเอกสารลงไปได้โดยตรง แต่บราวเซอร์จะไม่มีการจัดรูปแบบของเอกสารให้ จำเป็นต้องมีส่วนของ Tag คำสั่งมาช่วยจัดรูปแบบ
TAG ส่วนใหญ่ จะใช้ในส่วนนี้ เพื่อกำหนดรูปแบบของเอกสารที่จะแสดง
ตัวอย่างเอกสาร
TAG ที่ใช้จัดรูปแบบของข้อความในหน้าเอกสาร
Tag ต่อไปนี้เป็น Tag ที่ใช้สำหรับการจัดรูปแบบของข้อความในหน้าเอกสาร เพื่อทำให้เอกสารมีรูปแบบที่น่าดูมากขึ้น ซึ่งบาง Tag อาจมี option ซึ่งนักศึกษาต้องเพิ่มเติม

ขึ้นบรรทัดใหม่

ย่อหน้าใหม่โดยเว้นบรรทัดว่าง 1 บรรทัด

...
จัดข้อความให้อยู่กลางบรรทัด

เส้นคั่นแนวนอน ซึ่งจะมี parameter เพิ่มคือ
Width, size, align,noshade

ให้แสดงเส้น หนา 15 pixcel กว้าง 80 % ของ page อยู่ที่ตรงกลาง page
TAG ที่ใช้จัดรูปแบบของข้อความในหน้าเอกสาร
การกำหนดรูปแบบของ Pre-format Text
ใช้เพื่อกำหนดรูปแบบของเอกสารในการแสดงผลใน browser ให้เหมือนเอกสารใน html source

เช่น

Student Information
Name Ages Information
Sirak K. 22 Smart
Pennee H. 33 Thin

เมื่อมีการแสดงผลใน browser ก็จะแสดงผลเหมือนที่กำหนดใน

TAG ที่ใช้ในการสร้างตาราง
ใช้กำหนดตาราง
ใช้ในการกำหนดแถวเริ่มต้น และแถวสุดท้ายในตาราง
ใช้ในการกำหนดข้อมูลในแต่ละ คอลัมพ์ในตาราง
ใช้กำหนดหัวข้อในแต่ละคอลัมน์ ในตาราง ข้อความจะถูกแสดงเป็นตัวหนา
ตัวอย่างการสร้างตาราง



















Head1 Head2 Head3
Name Sirak Pennee Somsak
Info Smart Thin .....

เราสามารถแทรก TAG อื่น ๆ ลงไปในตาราง เพื่อช่วยในการจัดรูปแบบเอกสารได้
การจัดรูปแบบตัวอักษร
เอกสารที่แสดงบนบราวเซอร์ ยังสามารถจัดรูปแบบของตัวอักษรได้หลายรูปแบบ เช่น
... กำหนดขนาดของหัวเรื่อง (Heading) เมื่อ x เป็นตัวเลขที่แทนระดับของหัวเรื่องมีระดับตั้งแต่ 1 (ใหญ่สุด) – 6 (เล็กสุด)
... ทำตัวเข้ม (Bold)
... ทำตัวเอน (Italic)
... ขีดเส้นใต้ข้อความ (Underline)
... ทำข้อความกระพริบ
คำสั่งใส่รูปภาพลงในเว็บเพจ
ในการแทรกรูปภาพลงในเว็บเพจ ทำได้โดยการใช้ Tag

Parameter
WIDTH=number of pixel, HEIGHT=number of pixel หรือ
WIDTH=number%
กำหนดความสูงและความกว้างของรูปภาพด้วยจำนวนจุดของ Pixelหรือกำหนดความกว้างของรูปภาพเป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างการแทรกรูปภาพ
คำสั่งการเชื่อมโยง
ผู้เขียน homepage สามารถระบุถึงเป้าหมายของการเชื่อมโยงโดยเขียนแอททริบิวท์ HREF (Hypertext Reference) เข้าไปใน Tag Anchor ... ดังนี้
ข้อความที่เป็นจุดเชื่อมโยง
ตัวอย่าง
344-482 Computer Network Systems
การสร้างจุดเชื่อมโยงที่ตำแหน่งของรูปภาพ
นอกจากการแทรกรูปภาพธรรมดาแล้ว ยังสามารถกำหนดรูปภาพให้เป็นจุดเชื่อมโยงที่เชื่อมไปยังเอกสารเป้าหมายใด ๆ ได้อีกด้วย

ตัวอย่าง

เมื่อมีการคลิกที่บริเวณของรูปภาพ “CAKE.jpg” จะมีการ link ไปยัง Home Page ของมหาวิทยาลัยทันที

ข้อดีของ HTML
ไฟล์ HTML สามารถทำงานบน web browser ได้ทุกตัว โดยไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ๆ
คำสั่งที่ใช้ใน HTML มีขนาดเล็ก ทำให้ไฟล์ html มีขนาดเล็กตามไปด้วย โดยไม่จำเป็นต้องใช้การบีบอัด เพราะมีแต่ตัวอักขระ
HTML เป็นภาษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือใช้คำสั่งทุก ๆ ตัวก็สามารถสร้างเอกสาร html ได้
ปัจจุบันมีโปรแกรมมากมายที่ช่วยสร้างเอกสาร html ให้โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้จักภาษา html เลยก็ได้

ข้อเสียของ HTML
การเพิ่มเติม object หรือส่วนประกอบต่าง ๆ เป็นไปอย่างจำกัด
มีข้อจะกัดด้านการใช้คำสั่ง เนื่องจากไม่สามารถสร้างคำสั่งใหม่ ๆ ขึ้นมาเองได้ ต้องใช้แต่คำสั่งที่มีอยู่เท่านั้น
ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่า Browser แต่ละตัว จะแสดงผล file html ออกมาอย่างไร
ภาษา html รุ่นใหม่ ๆพยายามแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้

การใช้ PHP เบื้องต้น

การเขียนภาษา PHP
สำหรับการเขียนก็จะอาศัยโปรแกรมประเภท text editor ทั่วไป เช่น ใช้โปรแกรม NotePad ในระบบ windows เป็นต้น แต่ที่นี้จะใช้โปรแกรม EditPlus
โครงสร้างพื้นฐาน
ที่กล่าวไปแล้วว่า PHP สามารถใช้ร่วมกับ HTML ได้ทันทีนั้น เราจะมีสัญลักษณ์พิเศษที่แยก PHP ออกจาก HTML
แบบที่ 1 เปิดด้วยแท็ก ภายใต้แท็ก นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น


แบบที่ 2 เปิดด้วยแท็ก ภายใต้แท็ก นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
แบบที่ 3 เปิดด้วยแท็ก ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น

แบบที่ 4 เปิดด้วยแท็ก <% และ ปิดด้วย %> ภายใต้สคริปต์นั้นจะเป็น PHP ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
การเขียน Comment
ในการเขียนโปรแกรมใดๆ ก็ตามโดยเฉพาะระบบโปรแกรมใหญ่ๆ ส่วนจะหลงลืม หรือจำไม่ได้ว่า แต่ละส่วนเขียนไปเพื่ออะไร จึงควรใส่หมายเหตุของโปรแกรมลงไปด้วย สำหรับ PHP นั้นใช้สัญลักษณ์ // และ # เพื่อบอกโปรแกรมว่า ไม่ต้องประมวลผล ในส่วนนั้นๆ
ตัวอย่าง
การแสดงข้อความออกทาง Browser
ในการแสดงผลได้ 2 คำสั่งคือ echo และ print ซึ่งสามารถใช้แทนกันได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยน syntax ใดๆอีก


ผลที่ได้ :
การใช้ตัวแปรในภาษา PHP
สำหรับการเขียนโปรแกรมสำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง สิ่งที่จะขาดเสียมิได้คือ การกำหนดและใช้ตัวแปร (variable) ตัวแปรในภาษา PHP จะเหมือนกับในภาษา Perl คือเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย dollar ($) โดยเราไม่จำเป็นต้องกำหนดแบบของข้อมูล (data type) อย่างเจาะจงเหมือนในภาษาซี เพราะว่า ตัวแปลภาษาจะจำแนกเองโดยอัตโนมัติว่า ตัวแปรดังกล่าว ใช้ข้อมูลแบบใด ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ข้อความ จำนวนเต็ม จำนวนที่มีเลขจุดทศนิยมตรรก เป็นต้น ตัวอย่างการใช้งาน เช่น
ถ้าเราต้องการจะแสดงค่าของตัวแปร ก็อาจจะใช้คำสั่ง echo ได้ ตัวอย่างเช่น



คำสั่งใส่รูปภาพลงเว็บเพจ
เราสามารถใช้คำสั่งแสดงรูปภาพที่เราต้องให้ปรากฏบนเว็บเพจเราได้ด้วยการใช้คำสั่ง โดยจะต้องมีการใช้ \ ด้วย เช่น

โดยมีคำสั่งในเพิ่มเติมในการแสดงภาพ ดังนี้
การกำหนดขนาดรูปภาพ ให้ตรงกับความต้องการ WIDTH หมายถึง ความกว้างของรูปภาพ และHEIGHT หมายถึง ความสูงของรูปภาพ

การกำหนดกรอบให้กับรูปภาพ
การวางตำแหน่งรูปภาพ
แบบแนวนอน ประกอบด้วย LEFT RIGHT
แบบแนวตั้ง ประกอบด้วย เสมอบน มี 2 คำสั่ง คือ TOP TEXTTOP
กึ่งกลาง มี 2 คำสั่ง คือ MIDDLE ABSMIDDLE เสมอล่าง มี 3 คำสั่ง คือ
BASELINE BOTTOM ABSBOTTOM


ชนิดของข้อมูล



Integers ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนเต็มทั้งจำนวนเต็มบวกและจำนวนเต็มลบ รวมทั้งแสดงค่าเป็น เลขฐานสิบ (0-9) ฐานแปด (0-7) และเลขฐานสิบหก (0-9, A-F หรือ a-f) โดยที่เลขฐานแปดจะขึ้นต้นด้วย 0 และเลขฐานสิบหกจะขึ้นต้นด้วย 0x หรือ 0X มีค่าได้ทั้งบวกและลบ
Floating point ใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนจริงบวกและลบ จะมีทศนิยมหรือไม่มีก็ได้และรูปแบบยกกำลัง
String ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ รวมทั้งตัวเลข (ไม่สามารถนำไปคำนวณได้)
รหัสควบคุมพิเศษต่างๆ
Array ข้อมูลแบบนี้เป็นการเก็บข้อมูลเป็นชุดๆ แต่ละชุดมีสมาชิกเป็นของตัวเองจะมีมากน้อยแค่ไหนก็ได้ ทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งานมากขึ้น การสร้างตัวแปรอาเรย์จะใช้ฟังก์ชัน array()
Object เป็นการเขียนชุดคำสั่งเพื่อเก็บข้อมูลในลักษณะออปเจกต์ เพื่อการเรียกใช้ Class Object หรือ Function




ผลลัพธ์ที่ได้คือข้อความว่า Hello World
ในการเรียกใช้ฟังก์ชันที่อยู่ภายใน Class จะใช้เครื่องหมาย -> เป็นการอ้างอิง




ตัวดำเนินการ หรือ Operator
ในภาษา PHP มี Operator ต่างๆ ให้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นโอเปอเรเตอร์ทางคณิตศาสตร์ โอเปอเรเตอร์เชิงตรรกะ เช่นเดียวดับภาษาอื่นดังนี้

การใช้เงื่อนไข(condition) เพื่อการตัดสินใจ
การใช้ IF...ELSE Condition เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่ธรรมดาที่สุด คือกำหนดเงื่อนไข แล้วโปรแกรมตรวจสอบเงื่อนไขนั้น ถ้าเงื่อนไขนั้นเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่งที่กำหนด ถ้าเป็นเท็จก็จะไม่ทำ



ผลที่ได้ : Summation = 10
การใช้ Switch…Case ในบางครั้งในการกำหนดทางเลือกของโปรแกรมโดยการใช้ If…Else อาจจะทำให้เขียนโปรแกรมยาวและทำความเข้าใจยาก ดังนั้นเราอาจใช้ Switch แทนซึ่งเขียนโปรแกรมง่ายกว่าและมีความกระชับมากกว่า




ผลที่ได้ : i equals 2
การวนลูป
การใช้ While Loop คำสั่ง while จะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงก็จะทำตามคำสั่ง




ผลที่ได้ : 12345
Do while เป็นคำสั่งที่คล้ายกับ While Loop แต่ต่างกันที่ Do while นั้นจะทำงานโดยการตรวจสอบเงื่อนไขภายหลังจากการทำงานไปแล้วแต่ While นั้นจะตรวจสอบเงื่อนไขก่อนการทำงาน



ผลที่ได้ : 5
กรณีที่ใช้ While...Loop จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน แล้วจึงค่อยทำในลูป
กรณีที่ใช้ Do...Loop จะทำคำสั่งในลูปก่อน แล้วจึงค่อยตรวจสอบเงื่อนไข
For Loop คำสั่งนี้จะทำหน้าที่สั่งให้โปรแกรมทำงานวนรอบตามต้องการ ซึ่งกำหนดเป็นเงื่อนไข โดยจะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง และจะมีลักษณะการวนรอบที่รู้จำนวนรอบที่แน่นอน




ผลที่ได้ : 12345
Foreach เป็นการทำงานในลักษณะวนรอบที่ทำงานกับตัวแปรอาร์เรย์ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลทั่วไป โดย $Value เป็นตัวกำหนดค่าให้กับ array expression โดยพอยน์เตอร์จะเลื่อนไปตามสมาชิดถัดไปของอาร์เรย์ตามการเปลี่ยนแปลงรอบที่เปลี่ยนไป
การใช้ break และ continue ภายในลูป
คำสั่ง break เป็นคำสั่งจะใช้เพื่อให้หยุดการทำงาน จากการใช้คำสั่งเพื่อวนรอบที่ผ่านมาจะเห็นว่าจะออกจากการวนรอบเมื่อสิ้นสุดการทำงานแล้วเท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้หยุดทำงานกะทันหัน สามารถใช้คำสั่ง break ก็ได้
คำสั่ง continue เป็นคำสั่งที่ทำงานตรงข้ามกับคำสั่ง break คือ จะสั่งให้โปรแกรมทำงานต่อไป ถ้าใช้คำสั่ง Continue กับ For เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปเพิ่มค่าให้กับตัวแปรทันที หรือถ้าใช้กับคำสั่ง While เมื่อพบคำสั่งนี้จะเป็นการสั่งให้กลับไปทดสอบเงื่อนไขใหม่ทันที
ผลที่ได้ :Blue
คำสั่ง continue บังคับให้ไปเริ่มต้นทำขั้นตอนในการวนลูปครั้งต่อไป ส่วน break นั้นส่งผลให้หยุดการทำงานของลูป
การใช้คำสั่ง include และ require
คำสั่งทั้งสองเอาไว้แทรกเนื้อหาจากไฟล์อื่นที่ต้องการ ข้อแตกต่างระหว่าง include และ require อยู่ตรงที่ว่า ในกรณีของการแทรกไฟล์ใช้ชื่อต่างๆ กันมากกว่าหนึ่งครั้งโดยใช้ลูป คำสั่ง require จะอ่านเพียงแค่ครั้งเดียว คือไฟล์แรก และจะแทรกไฟล์นี้เท่านั้นไปตามจำนวนครั้งที่วนลูป ในขณะที่ include สามารถอ่านได้ไฟล์ต่างๆ กันตามจำนวนครั้งที่ต้องการ
การใช้งาน MySQL
การสร้างฐานข้อมูล
ในการสร้างฐานข้อมูลของ MySQL สามารถสร้างผ่าน phpMyAdmin ได้เลย โดยการเลือก Internet Explorer ขึ้นมาพิมพ์ 127.0.0.1 ที่ address bar จะได้หน้าต่างดังนี้
ชนิดของข้อมูลใน MySQL
ชนิดของข้อมูลพื้นฐาน มี 3 ชนิด คือ ตัวเลข, วันที่เวลา และตัวอักษร แต่ละชนิดจะมีขนาดไม่เท่ากัน ดังนั้น เมื่อกำหนดคอลัมน์หรือฟิลด์ข้อมูลในตารางบนฐานข้อมูล จะต้องคำนึงถึงชนิดของข้อมูลด้วย เพื่อความเหมาะสมของข้อมูล โดยข้อมูลแต่ละชนิดมีรายละเอียดดังนี้
ชนิดตัวเลข แบ่งได้เป็น เลขจำนวนเต็มและเลขจำนวนจริง
ตารางแสดงชนิดของตัวเลขจำนวนเต็ม
ตารางแสดงชนิดของเลขจำนวนจริง


ชนิดวันที่และวันเวลา
ตารางแสดงชนิดวันที่และเวลา
ชนิดตัวอักษร
ตารางแสดงชนิดของสตริง
ฟังก์ชันในการจัดการฐานข้อมูลใน MySQL
การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล
ในการติดต่อกับฐานข้อมูลจะต้องทำหารเปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ก่อน โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้
mysql_connect(hostname, username, password);
hostname คือ ชื่อของดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ ในการที่ติดตั้ง MySQL ไว้ในเครื่องเดียวกับเว็บเซิร์เวอร์ ก็สามารถระบุเป็น localhost แทนชื่อจริงได้เลย
username คือ ชื่อผู้ใช้ที่ถูกกำหนดให้สามารถทำงานกับ MySQL ได้
password คือ รหัสผ่านของผู้ใช้ หรือจะระบุหรือไม่ก็ได้
ค่าที่คืนออกมาจากการเรียกใช้ฟังก์ชันนี้จะได้ค่าเป็นจริงหากสามารถติดต่อกับ MySQL ได้สำเร็จแต่ถ้าไม่สามารถติดต่อได้หรือติดต่อไม่สำเร็จจะมีค่าเป็นเท็จ เช่น
การยกเลิกการเชื่อมต่อ
ฟังก์ชันที่ใช้ในการยกเลิกหรือปิดการติดต่อดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์
mysql_close(database_connect);
โดยผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ ถ้าปิดการติดต่อกับ MySQL ได้สำเร็จก็จะมีค่าเป็นจริง ถ้าไม่สำเร็จจะมีค่าเป็นเท็จ เช่น
การเรียกใช้ฐานข้อมูลผ่านเว็บ
ก่อนการเรียกใช้ฟังก์ชันนี้ จะต้องมีการเรียกใช้ฟังก์ชัน mysql_connect เพื่อกำหนดฐานข้อมูลที่จะเชื่อมต่อเสียก่อน
mysql_select_db(string databasename);
Databasename คือ ชื่อของฐานข้อมูล เช่น
การนำภาษา SQL มาใช้ในฐานข้อมูล MySQL
ฟังก์ชัน mysql_query()
เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน MySQL ด้วยภาษา SQL เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูล เช่น การเพิ่ม การลบ เป็นต้น ต้องใช้กับฟังก์ชัน mysql_select_db()
mysql_query(string query, [database_connect]);
query หมายถึง คิวรีที่เรียกใช้ฐานข้อมูล
database_connect หมายถึง ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้ เช่น
ฟังก์ชัน mysql_db_query()
เป็นฟังก์ชันสำหรับสั่งงาน MySQL ด้วยภาษา SQL เพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูลเหมือนกับฟังก์ชัน mysql_query แต่ไม่ต้องใช้ร่วมกับฟังก์ชัน mysql_select_db()เพราะสามารถกำหนดชื่อฐานข้อมูลไว้ในฟังก์ชันได้เลย
mysql_db_query(string databasename, string query);
เช่น
ฟังก์ชัน mysql_free_result()
เป็นฟังก์ชันสำหรับคืนหน่วยความจำให้กับระบบ เพื่อใช้หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้ามีการใช้ตัวแปรมากๆ แล้วไม่มีการคืนหน่วยความจำจะส่งผลให้หน่วยความจำเต็มและมีผลต่อการทำงานของระบบได้
mysql_free_result(int result);
result หมายถึง ค่าที่ได้จากการใช้คำสั่งคิวรี เช่น
ฟังก์ชัน mysql_create_db()
เป็นฟังก์ชันสำหรับสร้างฐานข้อมูลใหม่
mysql_create_db(string databasename, [int database_connect]);
databasename คือ ชื่อฐานข้อมูลที่ต้องการสร้างใหม่
database_connect คือ ตัวแปรที่ใช้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล จะกำหนดหรือไม่ก็ได้
ฟังก์ชัน mysql_fetch_array()
เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับดึงค่าผลลัพธ์ของฐานข้อมูลเก็บไว้ในอาร์เรย์ ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ จะเป็นข้อมูลอาร์เรย์ที่มีสมาชิกเท่ากับจำนวนคอลัมน์ของตาราง
mysql_fetch_array(int result);
จากการใช้ฟังก์ชันนี้ จะเป็นการอ่านค่าและถ่ายค่าลงตัวแปรอาร์เรย์ทีละ 1 รายการ หากเราต้องการแสดงค่าของข้อมูลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบทุกรายการที่มีในตารางผลลัพธ์ ก็จะต้องกำหนดคำสั่งให้วนรอบการทำงานของฟังก์ชัน เช่น
ฟังก์ชัน mysql_fetch_row()
เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ข้อมูลไปยังเรคอร์ดถัดไป
mysql_fetch_row(int result);
ฟังก์ชัน mysql_num_fields()
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการหาจำนวนคอลัมน์ที่มีทั้งหมด
mysql_num_fields(int result);
ผลลัพธ์ที่คืนออกมากจากฟังก์ชันนี้ เป็นชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนคอลัมน์ทั้งหมดของตาราง เช่น
ฟังก์ชัน mysql_num_rows()
เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณหาจำนวนแถวหรือจำนวนรายการทั้งหมด
mysql_num_rows(int result);
ผลลัพธ์ที่คืนออกมาจากฟังก์ชันนี้ เป็นข้อมูลชนิดตัวเลข ได้แก่ จำนวนรายการทั้งหมดของตารางผลลัพธ์
การอัปโหลดเว็บเพจเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต
วิธีการคือ เมื่อสร้างเว็บเพจสำเร็จแล้ว ก็ถึงขั้นตอนของการนำเว็บเพจไปฝังหรือฝากไว้ที่คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ของ ISP ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ หรืออาจจะมี Server เป็นของตัวเองเพื่อให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกอินเตอร์เน็ตมองเห็นเว็บเพจของเรา ด้วยวิธีการ Upload หรือทำการ Transfer File ซึ่งการอัปโหลด (Upload) คือการก๊อปปี้ไฟล์จากเครื่องพีซีของเราไปไว้ที่เครื่อง Host โดยใช้ FTP (File Transfer Protocal) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องพีซีและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Host สำหรับเครื่องพีซีจะต้องติดตั้งซอฟแวร์ในการอัปโหลดไฟล์ จากนั้นก็ทำการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีของตัวเอง
ที่หน้าจอด้านขวาจะเป็นส่วนของเซิร์ฟเวอร์ และทางซ้ายคือฝั่งพีซี การอัปโหลดไฟล์ทำได้โดยการเลือกไฟล์ที่ต้องการอัปโหลด แล้วคลิกที่รูปลูกศรชี้ขึ้นที่อยู่บนแถบเมนูบาร์หรือดับเบิ้ลคลิกไฟล์ที่ฝั่งพีซีหรือคลิกที่ไฟล์ แล้วลากเมาส์ไปยังด้านเซิร์ฟเวอร์ โปรแกรมจะรายงานผลการอัปโหลดในทุกระยะ จนกระทั่งการอัปโหลดเสร็จสมบูรณ์ และหากเราต้องการสร้างไดเร็กทอรี ก็สามารถทำได้โดยคลิกเมาส์ขวาที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แล้วเลื่อนเมาส์ไปที่ Make new directory จะปรากฏหน้าจอ Create new dir ให้ใส่ชื่อไดเร็กทอรีใหม่ แล้วคลิก OK หากต้องการอัปโหลดไฟล์ไปไว้ในไดเร็กทอรีใหม่ ก็ดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อไดเร็กทอรีที่สร้างไว้ แล้วอัปโหลดไฟล์ด้วยวิธีเดิม
การจัดสร้างไดเร็กทอรีเป็นเว็บเพจย่อย
จากหลักการข้างต้นนี้ เราสามารถจัดสร้างไดเร็กทอรีย่อย เพื่อจัดสร้างเป็น URL ย่อยสำหรับการเรียกเข้าถึงโดยตรง เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดสร้างร้านค้าย่อยหรือสร้างเว็บเพจย่อย โดยไม่ต้องคีย์ชื่อไฟล์ ก็สามารถทำได้โดยกำหนดชื่อไฟล์ ไฟล์แรก ชื่อ index.html
การตั้งชื่อเรียกอยู่ภายใต้ไดเร็กทอรี มีข้อดีในการนำมาใช้เรียกชื่อร้านค้าย่อยที่ร่วมอยู่ในห้างออนไลน์เดียวกัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีเพราะชื่อที่เรียกไม่ยาวจนเกินไป และเป็นการใช้ชื่อร่วมกันอันทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม หากจะให้มีชื่อเรียกเป็นของตนเอง โดยส่วนใหญ่ก็มักจะไปจดชื่อโดเมนเป็นของตนเอง ซึ่งชื่อเหล่านี้ถือเป็นตรายี่ห้อสินค้าอย่างหนึ่ง ทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำได้ง่าย และเมื่อมีชื่อเสียงก็สามารถกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งด้วย

การใช้งาน ASP.NET
ASP.NET ยังคงเป็น Server-Side Script อยู่ ดังนั้นการจำลอง Server แบบต่างๆที่ทำใน ASP เวอร์ชั่นก่อนๆ นั้นยังคงจำเป็นอยู่ ขาดไม่ได้เด็ดขอด แต่สิ่งสำคัญคือ ระบบนี้จำเป็นต้องใช้กับ Windows 2000 หรือ Windows XP ขึ้นไปดังนั้นโปรแกรม PWS จำไม่สามารถนำมาใช้ได้ คงเหลือไว้แต่โปรแกรม IIS เท่านั้นซึ่งสเป็คของเครื่องต้องสูงมากทีเดียว
สิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือ การใช้งาน ASP.NET นั้นต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เป็น .NET ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้อง ลงโปรแกรมที่สร้างสภาวะแวดล้อมนี้ ซึ่งก็มีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 ชนิดคือ -- .NET Framework SDK มีไฟล์ขนาดประมาณ 130 MB -- ASP.NET Premium Edition มีขนาดประมาณ 20 MB
ทดสอบโปรแกรมแรกกับ ASP.NET
การเรียกใช้งานโปรแกรม ASP.NET นั้นเหมือนกับการเรียกใช้งาน ASP ธรรมดาทุกประการแต่แตกต่างกันตรงที่ไฟล์ของ ASP.NET นั้นเป็นสกุล .aspx เท่านั้นเอง เราจะมาลองเขียนโปรแกรมแรกของ ASP.NET กันบ้างเป็นโปรแกรมง่ายๆดังนี้
'ฟอร์มที่เช็คว่าคุณกรอกข้อมูลรึยัง

'ส่วนนี่เป็นโค้ดที่ใช้ทำปฏิทิน ง่ายมั้ยแค่บรรทัดเดียว
ตั้งชื่อไฟล์อะไรก็ได้ แต่นามสกุลคือ .sapx

การใช้งานเบื้องต้นของ JSP
จากบทที่แล้วได้เสนอบทเรียนการเขียนภาษา Java เบื้องต้น แต่ว่าการเขียนสคริปต์ JSP จะไม่เหมือนกับการเขียนโปรแกรม Java ซะทีเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องประกาศเมธอด main() เราสามารถเขียนซอร์ดโค้ดภาษา Java ไว้ในแท็กของ JSP ได้เลย โดยการแทรกสคริปต์ของ JSP ลงไปในแท็ก HTML ทำได้โดย <% เป็นการเปิดและ %> เป็นการปิด
การใช้แท็ก Expression ถ้าแสดงค่าตัวแปรโดดๆ หรือคำนวณค่า รูปแบบ :: <%= Expression %>
การประกาศตัวแปร รูปแบบ :: <%! Declaration; %>
เมธอดสตริงที่ควรรู้ เมธอด length() :: ใช้ในการหาความยาวของสตริงที่กำหนด เมธอด charset() :: ใช้สำหรับหาตัวอักษร ณ ตำแหน่งที่ระบุภายในสตริง เมธอด parselnt() :: ใช้สำหรับแปลงสตริงเป็นตัวเลข เมธอด toString() :: ใช้สำหรับแปลงตัวเลขเป็นสตริง
ตัวอย่างซอร์ดโค้ด JSP :: ตัวแปร (การใช้งาน Operator)
<%! // เป็นการประกาศตัวแปร int a = 50; int b = 30; int sum; %> <% sum = a + b; out.println ("ผลลัพธ์ที่ได้ คือ " + sum); %> แสดงผล ผลลัพธ์ที่ได้ คือ 80
ตัวอย่างซอร์ดโค้ด JSP :: ตัวแปร (การต่อ String)
<%! // เป็นการประกาศตัวแปร string a = "Supawat"; string b = "Intrakumhang"; string result; %> <% out.println ("ค่าของ String a คือ " + a + "
"); out.println ("ค่าของ String b คือ " + b + "
"); result = a + b; out.println ("ผลลัพธ์ที่ได้จากการรวม String คือ " + result); %> แสดงผล ค่าของ String a คือ Supawat ค่าของ String b คือ Intrakumhang ผลลัพธ์ที่ได้จากการรวม String คือ SupawatIntrakumhang